เมื่อวาน แชร์แถลงการณ์ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่องแนวทางในการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ให้กับเด็ก ที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนให้เด็กอายุตั้งแต่ 16 ถึง 18 ปี "ทุกคน" (ด้วยวัคซีนที่ผ่านการรับรองจาก อย. แล้วตอนนี้ คือของ บ. ไฟเซอร์ ) , ส่วนเด็กอายุ 12 ถึง 16 ปีนั้น ให้ฉีดเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสุขภาพสูง , ส่วนกลุ่มที่สุขภาพแข็งแรงดี และกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 12 ปีนั้น ให้รอผลการศึกษาวิจัยก่อน (ดู https://www.facebook.com/100003619303769/posts/2270816689715619/?app=fbl)
วันนี้ก็มีข้อมูลจากคุณหมอสมศักดิ์ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ สมศักดิ์ โล่ห์เลขา) ประธานราชวิทยาลัยฯ มาเพิ่มเติม ขอเอามาสรุปให้ฟังกันนะครับ
- จำนวนเด็กที่ป่วยจากโควิด มี 1.4 แสนคน (14% ของผู้ติดเชื้อ) โดยติดเชื้อจากที่บ้าน เพราะโรงเรียนยังไม่ได้เปิด
-แต่เด็กที่ป่วยแล้วเสียชีวิต มีเพียง 20 คน เป็นเด็กที่มีโรคประจำตัวมาก่อนแล้ว
- โดยกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อสูงสุดคือ 12-18 ปี (38%) รองลงมาคือ 6-12 ปี (32%) และ ต่ำกว่า 6 ปี (5%)
- เด็กที่อายุ 6-12 ปี ยังไม่พบการเสียชีวิต และที่เด็กเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ใหญ่ เพราะมีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโควิด ดีกว่าผู้ใหญ่
- ที่เด็ก ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเพราะไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก
- การฉีดวัคซีนให้เด็ก ต้องรอบคอบ เด็กไม่ใช่ "ผู้ใหญ่ตัวเล็ก" ที่จะบอกว่าผู้ใหญ่ฉีดได้ เด็กก็ฉีดได้เหมือนกัน เพราะการตอบสนองและภูมิคุ้มกันไม่เหมือนกัน
- ในอนาคต น่าจะมีวัคซีนที่ปลอดภัย แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่การใช้ฉุกเฉิน (อาจมีวัคซีนที่ปลอดภัยกว่าปัจจุบัน ออกมาต้นปีหน้านี้)
- วัคซีนที่ขึ้นทะเบียนใช้กับเด็กได้มีตัวเดียว คือ ไฟเซอร์ สำหรับอายุ 12 ปี ขึ้นไป
- อเมริกา ทดสอบฉีดไป 3 พันคนไม่มีปัญหา แต่พอฉีดเป็นแสนคน พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลายคน ทำให้ไทยเราต้องรอก่อน
- ไทยเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุเกิน 12 ปี กลุ่มเสี่ยงก่อน เช่น เด็กที่มีอาการทางสมอง หัวใจ เบาหวาน อ้วน (หลายประเทศ ไม่ฉีดเด็กที่ไม่มีความเสี่ยง)
- ไทยควรฉีดผู้ใหญ่ให้ครบทุกคนก่อน เพราะอัตราการเสียชีวิตของผู้ใหญ่ สูงกว่าเด็ก 100 เท่า และถึงแม้จะฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังต้องใส่หน้ากาก
- สำหรับการเปิดโรงเรียน : ประเทศญี่ปุ่น แม้จะล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ก็ยกเว้นโรงเรียนไว้ / สิงคโปร์ และอเมริกา ก็เปิดเรียน
- การที่เด็กไม่ไปโรงเรียน เป็นเรื่องเสียหายมาก ทั้งการเรียนรู้ การออกกำลังกาย และการเข้าสังคม และสุดท้าย สร้างปัญหาเด็กลาออกจากโรงเรียน สร้างความเหลื่อมล้ำมาก
- สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ การหามาตรการรับมือเปิดเทอมโดยแนวการป้องกันคือ
1) ฉีดวัคซีนให้ครูและคนในบ้าน เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ติดเชื้อ เด็กก็ไม่ติดเชื้อ
2) เน้นการใส่หน้ากากทั้งที่บ้าน และโรงเรียน รวมทั้งการเว้นระยะห่าง ล้างมือ
3) ใครป่วยหรือมีประวัติสัมผัสต้องหยุดอยู่บ้าน ทำความสะอาดห้อง
4) ควรมีการตรวจเด็กเป็นระยะ ในช่วงที่มีระบาดหนัก / ส่วนที่ไม่ระบาดหนัก อาจตรวจเฉพาะคนที่มีอาการ
5) ไม่จำเป็นต้องใช้สูตรเดียวทั้งประเทศ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เช่น นักเรียนติดคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งโรงเรียน ซึ่งจะสร้างความเสียหายมาก อาจะให้หยุดเรียนเฉพาะเด็กคนอื่น ที่สัมผัสเด็กที่ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
- โรงเรียนควรเป็นที่ที่ปิดหลังสุด แต่กลับถูกปิดก่อน เพราะไปคิดเหมือนไข้หวัดใหญ่ ทั้งที่ปัญหาไม่เหมือนกัน
- น่าเป็นห่วงเด็ก ที่ต้องหยุดในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่สมอง กำลังพัฒนา
- พบว่าเด็กติดเกมเยอะมากช่วงนี้ ถ้าไม่ดูให้ดีก็จะเป็นปัญหา
- จำเป็นต้องมาช่วยกันให้เด็กได้รับการศึกษาที่ดี
- องค์การอนามัยโลก บอกว่ามีปัญหาเรื่อง เด็กอ้วนเตี้ย ซึ่งมาจากไม่ได้ออกกำลังกาย อยู่แต่หน้าจอ
- จะเกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามหาศาล เช่น อินเดีย มีคนที่ไม่ได้เรียน สุดท้าย เด็กก็ออกไปหางานเลี้ยงชีพ อนาคตก็แย่หมดไม่มีความรู้ ต้องหาทางแก้ไขปัญหาที่จะตามมา
------
จากนี้ยังมีความเห็นของอาจารย์สมพงษ์ (ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) กล่าวว่า
- นโยบายที่เตรียมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 4 ล้านโดส ให้เด็ก 12-18 ปี ถือว่ามาถูกทาง เพราะว่าเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนจะเปิดอีกครั้ง
- เด็กกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง กลุ่มยากจน กลุ่มที่อยู่ในชุมชน ควรได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรกๆ เพราะตอนนี้ติดเชื้อจำนวนมาก
- ขณะนี้ ครู 45% ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว แต่จะทำถึง 70% ก่อนเปิดเทอมเดือนพฤศจิกายนได้ทันหรือไม่
- หากเด็กไปโรงเรียนแล้วมีการติดเชื้อเกิดขึ้น ควรเตรียมสถานที่พักคอย ดูแล บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
- ไม่ใช่ว่าพบเด็กติดเชื้อ คนสองคน แล้วสั่งปิดโรงเรียนทันที
- การมีสถานที่พักคอย จะทำให้แยกเด็กออกจากกันและทำให้เด็กส่วนใหญ่ก็ยังเรียนได้ปกติ
- การจ้างงานพ่อแม่ การมีอาสาสมัครไปช่วยเยียวยา จะทำให้เด็กฟื้นตัวดีขึ้น
- จากการปิดเรียน เด็กต้องอยู่ในชุมชนแออัด ทำให้เกิดความเครียดสะสมแบบ 3 เส้า ทั้งเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และ ครู
- ความเครียดที่เด็กต้องเรียนรู้ใบงานมากมาย อยู่หน้าจอวันละ 7-8 ชม. ที่เด็กเอือมระอา
- เมื่อเปิดเทอม มีทั้งเด็กกำพร้า เด็กยากจนด้อยโอกาส และเด็กปกติที่เรียนด้วยกัน ครูจะมีวิธีการจัดการแนะแนวอย่างไร เยี่ยมบ้านเด็กอย่างไร
- หากไปเจอเด็กที่มีภาวะซึมเศร้า เกิดการสูญเสีย จะประสานหน่วยงานไหนไปช่วยดูแล